วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

10 ประเทศในยุโรปที่มีค่าใช้จ่ายถูกที่สุด ปี 2013

แบกเป้ท่องยุโรป (ราคา) ถูกสุดๆ : เว็บไซต์ Price of Travel มีการจัดอันดับดัชนีค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค ประจำปี 2013 ของประเทศในยุโรป โดยคำนวณจากค่าที่พักหนึ่งคืน ค่ารถประจำทางสองสาย ค่าอาหารและเครื่องดื่มสามมื้อ และค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งแห่ง พบว่า 10 ประเทศในยุโรปที่มีค่าใช้จ่ายถูกที่สุด คือ
Bucuresti
บูคาเรสต์, โรมาเนีย : ติดอันดับเมืองที่มีค่าใช้จ่ายต่อวันถูกที่สุดหรือ 78.57 ลิว (691 บาท) เมืองหลวงที่มีชื่อเล่นว่า “ลิตเติ้ลปารีส” ของโรมาเนียไม่ได้ถูกประชาสัมพันธ์มากเท่ากับเมืองอื่นของยุโรป แต่มีเพชรเม็ดงามที่หลบซ่อนอยู่ เช่น อาคารรัฐสภาและวิลเลจ มิวเซียม ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของโรมาเนียชนบท ศูนย์แสดงคอนเสิร์ตอาเธนเนียมที่ได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่สวยที่สุดใน บูคาเรสต์และเป็นแบบอย่างที่ดีของสถาปัตยกรรมสไตล์บาร็อคและไอออนิก
โซเฟีย, บัลแกเรีย : หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรปที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังโบราณและ ความงดงามของทิวทัศน์มีค่าใช้จ่ายต่อวันเพียง 36.40 เลวา (706 บาท) นักท่องเที่ยวที่แวะชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติจะได้ทราบถึงประวัติ ศาสตร์ของบัลแกเรียอายุกว่า 7,000 ปี หรือเยือนโบสถ์ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงทหารรัสเซีย 200,000 คนที่เสียชีวิตในสงครามปลดปล่อยรัสเซีย-ตุรกีในปี 1877
คราคอฟ, โปแลนด์ : ค่าครองชีพในเมืองเก่าแก่แห่งนี้กำลังจะเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่คนรู้จักกัน มากขึ้น ด้วยค่าใช้จ่ายต่อวันอยู่ที่ 77.20 ซวอตี (708 บาท) นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย รวมถึงใจกลางเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ ปราสาทวาเวล และจตุรัสกลางเมืองเก่า
ซาราเยโว, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา : ชื่อเมืองหลวงแห่งนี้ทำให้คนนึกถึงแต่ภาพของอดีตสงคราม ซาราเยโวจึงไม่มีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากนัก ค่าใช้จ่ายต่อวันจึงถูกมากเพียงแค่ 19.56 ยูโร (745 บาท) แต่นักท่องเที่ยวจะต้องประหลาดใจกับความงดงามของสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ศูนย์กลางของเมืองและเมืองเก่ามุสลิม ซาราเยโวยังมีชื่อเสียงเรื่องความหลากหลายทางศาสนาซึ่งมีทั้ง ชาวยิว ชาวมุสลิมและชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและออร์โธดอกซ์ที่อยู่ร่วมกันมานานหลาย ศตวรรษจนได้ฉายา “เยรูซาเล็มแห่งยุโรป”
เคียฟ, ยูเครน : ด้วยความที่อยู่นอกเส้นทาง ค่าใช้จ่ายต่อวันในเคียฟจึงอยู่ที่ 209.68 ฮริฟเนีย ( 754 บาท) เคียฟเป็นเมืองที่ร่ำรวยทางวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ โรงละคร ซากปรักหักพังโบราณ สถานที่ทางศาสนา และอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน แหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจคือ วิหารไบเซนไทน์ เซนต์ โซเฟีย ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นคู่แข่งของสุเหร่าโซเฟีย ในอิสตันบูล ตุรกี
ริกา, ลัตเวีย : เมืองหลวงของลัตเวียที่ตั้งอยู่บนทะเลบอลติคเป็นเมืองที่มีบาร์และร้านอาหาร มากมาย ค่าใช้จ่ายต่อวันอยู่ที่ 14.60 แลตส์ (795 บาท) นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดิน นั่งรถประจำทางทันสมัยหรือรถรางเพื่อชมศูนย์กลางเมืองเก่าได้ สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น อาร์ต นูโว เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหอส่งสัญญาณวิทยุและทีวีซึ่งมีรูปร่างเหมือนหอไอเฟลและได้รับการ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกสาขาการออกแบบในปี 1997 โรงละครแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่
เบลเกรด, เซอร์เบีย : เมืองหลวงของเซอร์เบียต้องดิ้นรนอย่างหนักในการดึงนักท่องเที่ยวให้มาเยือน ทั้งๆ ที่เสน่ห์ของเมืองอยู่ที่สถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวา สถาปัตยกรรมที่หลากหลายตั้งแต่แบบไบเซนไทน์ ออตโตมัน นีโอคลาสสิค โรแมนติกไปจนถึงอาร์ต นูโว และแน่นอนค่าใช้จ่ายถูกมากอยู่ที่ 20.97 ยูโร ( 799 บาท) ต่อวัน แหล่งท่องเที่ยวแนะนำคือ ป้อมปราการเบลเกรดที่สร้างในศตวรรษที่ 2 วิหารเซนต์ ซาวา และพิพิธภัณฑ์นิโคลา เทสลา ซึ่งเป็นที่เก็บของแบบแปลนและภาพวาดนับไม่ถ้วนของชาวเซอร์เบียที่มีชื่อ เสียงที่เป็นนักประดิษฐ์ วิศวกร นักฟิสิกส์

บูดาเปสต์, ฮังการี : เมืองหลวงซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวแบ็คแพคแห่งนี้มีสถานที่ท่อง เที่ยวมากมายทั้งปราสาทและวิหารที่มีชื่อเสียง เช่น มหาวิหารเซนต์ สตีเฟ่นที่มีโดมสูง 90 เมตร โรงอาบน้ำและโรงสปาสมัยศตวรรษที่ 16 พิพิธภัณฑ์อะควินคุ่มซึ่งจัดแสดงซากสถาปัตยกรรมจากเมืองโบราณอะควินคุ่ม ค่าใช้จ่ายที่นี่เพียง6,930 โฟรินท์ (877 บาท) ต่อวัน
วอร์ซอ, โปแลนด์ : เมืองหลวงแห่งนี้มักจะถูกบดบังรัศมีจากเพื่อนบ้านอย่างคราคอฟ ทั้งๆ ที่เป็นเมืองที่สะท้อนภาพชีวิตของคนยุคหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับพระราชวังวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ที่สวยงาม ปราสาทรอยัล คาซเซิ่ล และเสน่ห์ของศิลปะแบบโกธิคของเมืองเก่าที่สร้างขึ้นใหม่หลังจากถูกทำลายโดย กองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วอร์ซอมีระบบขนส่งสาธารณะมากมายทั้งรถบัส รถไฟใต้ดินและรถราง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 110.20 ซวอตี (1,011 บาท) ต่อวัน
ซาเกร็บ, โครเอเชีย : นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักมองข้ามเมืองหลวงแห่งนี้และมักจะแห่กันไปเที่ยวตาม เมืองชายทะเลมากกว่า ทั้งๆ ที่ซาเกร็บเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาที่ผสมผสานกันระหว่างเสน่ห์ของยุโรปตะวัน ออกกับความทันสมัยของยุโรปตะวันตก ค่าใช้จ่ายวันละ 222 กูนา (1,114 บาท) นักท่องเที่ยวก็สามารถเพลิดเพลินไปกับวิหารโบราณ ตลาดกลางแจ้ง พระราชวังในศตวรรษที่ 19 และสถาปัตยกรรมยุคกลาง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเช่น วิหารอัสสัมชัญ เซนต์ แมรี่ วิหารแบบกอธิคที่มียอดแหลมคู่ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะมูเซจ มิรามา
ที่มา เว็บไซต์บีบีซี
ขอขอบคุณ Bangkokbiznews.com

7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย

อินเดีย
7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
              อินเดียเป็นที่รู้จักในหมู่ของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีว่าเป็นประเทศที่มี ค่าใช้จ่ายไม่แพง สิ่งที่คนส่วนมากรู้จักอินเดียก็คือวงการบันเทิงบอลลีวูดและการจราจรที่ ย่ำแย่ แต่ที่จริงแล้ว อินเดียยังมีเสน่ห์อีกหลายอย่างให้น่าค้นหา เช่น การไปปีนเขาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่เมืองลาดัคห์ หรือไปเล่นเซิร์ฟกลางอ่าวเบงกอลที่เมือง Port Blair ในราคาแสนถูก

โปแลนด์
7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
              ถึงแม้จะเป็นประเทศในยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นดินแดนแห่งสงครามเย็นในอดีต แต่ตอนนี้สงครามต่างๆ ได้สิ้นสุดไปหมดแล้ว ปัจจุบันค่าครองชีพของโปแลนด์เริ่มสูงขึ้นตามยุโรปตะวันตก แต่ก็ยังถือว่าถูกอยู่ดี คุณสามารถเที่ยวโปแลนด์ได้โดยใช้เงินเพียงวันละ 25 USD หรือประมาณ 750 บาทเท่านั้น ดังนั้นใครสนใจอยากจะลองไปเที่ยวที่โปแลนด์ ควรจะรีบไปก่อนที่ค่าครองชีพจะสูงไปมากกว่านี้

ซูดาน
7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
              เราอาจจะเคยรู้จักซูดานผ่านข่าวที่ไม่ค่อยดีต่างๆ นานาเกี่ยวกับประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาประเทศนี้ รวมถึงการจะเดินทางไปถึงซูดานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่จริงๆ แล้ว ซูดานเป็นประเทศหนึ่งที่ยินดีเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก เพราะในซูดานมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายตั้งอยู่ทั่วประเทศโดยเฉพาะพีระมิด ต่างๆ คุณสามารถหาที่พักราคาถูกๆ ได้ในราคาไม่เกิน 10 USD หรือ 300 บาทเท่านั้น

ลาว
7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
               ลาวเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ติดกับไทย แต่ก่อนนั้น นักท่องเที่ยวจะนิยมเที่ยวแค่เมืองไทยโดยไม่ผ่านไปลาว แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปเที่ยวประเทศลาวมากขึ้น เพราะบรรยากาศและสภาพของธรรมชาติที่ยังค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เหมือนวันวานรวม ถึงค่าครองชีพที่ไม่แพง ถึงลาวจะไม่ได้มีชายหาดทะเลที่สวยงามเหมือนไทย แต่ก็มีแม่น้ำโขงที่มีบรรยากาศชิลๆ ให้สามารถนั่งเล่นได้ตลอดวัน คุณสามารถเที่ยวได้โดยใช้เงินเพียงวันละ 15 USD หรือ 450 บาทเท่านั้น ก็สามารถซื้อทุกสิ่งที่คุณต้องการได้

จอร์แดน
7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
               หลายคนคงรู้จักจอร์แดนจาก 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก "เพตรา" แต่จริงๆ แล้วการเดินทางมาเที่ยวจอร์แดนซึ่งอยู่ในตะวันออกกลางนั้น ไม่จำเป็นจะต้องมาในมาดของนักโบราณคดีเพื่อมาขุดหาสมบัติ เพราะคุณสามารถหาที่พักถูกๆ ได้ในราคาเพียง 5 USD หรือ 150 บาทต่อคืน ซึ่งปกติแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจอร์แดน มักจะจัดทริปรวมไว้กับประเทศอียิปต์เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีพื้นที่ติดกัน อย่าลืมพกหมวกติดตัวมาด้วย เพราะที่จอร์แดนแดดแรงมาก

อินโดนีเซีย
7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
               ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้อินโดนีเซียจะมีข่าวด้านการเมืองในทางที่ไม่ดี รวมถึงมีข่าวการวางระเบิดบ้าง แต่ก็ยังจัดว่าเป็นประเทศที่น่าไปท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่เมืองบาหลีนั้น คุณสามารถดำน้ำหรือเล่นเซิร์ฟได้ในราคาถูก รวมถึงยังสามารถหาที่พักระดับหรูได้ในราคาเพียงคืนละ 20 USD หรือ 600 บาท

ฮอนดูรัส
7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
               ถ้าใครกำลังมองหาแหล่งดำน้ำหรือพายเรือคายักที่สวยและสงบในราคาไม่แพง ฮอนดูรัสเป็นที่ที่ไม่ควรพลาด คุณสามารถซื้อแพ็คเกจดำน้ำกลางทะเลแคริบเบียนได้ในราคาไม่แพง รวมถึงค่าที่พักก็ตกเพียงคืนละไม่เกิน 10 USD หรือ 300 บาทเท่านั้น ที่สำคัญฮอนดูรัสเป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยงามและยังไม่ถูกบุกรุก ดังนั้น รีบไปเที่ยวซะก่อนที่ธรรมชาติที่นั่นจะถูกทำลาย

7 ประเทศที่เที่ยวได้ แม้งบน้อย
               เป็นยังไงคะ แต่ละประเทศ น่าเที่ยวเนาะ ^^ ว่าแล้วก็ขอตัวไปเก็บเงินก่อนละกัน เพราะถึงค่าครองชีพจะไม่แพง แต่ค่าเครื่องบินก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะนั่น 5555 ว่าแต่น้องๆ ล่ะคะ ปีนี้มีใครตั้งใจว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง จะเมืองไทยหรือเมืองนอก ก็มาเล่าให้ พี่เป้ ฟังได้เลยที่คอมเม้นท์ด้านล่างโลด !
เด็กดีดอทคอม :: 3 ประเทศที่มีสงกรานต์เหมือนเมืองไทย; tags: holi, tomatina, สี, อินเดีย, โปแลนด์, สเปน, เทศกาล, ประเพณี, สงกรานต์
เนื้อหาและภาพประกอบจาก : lonelyplanet.com

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กลยุทธ์การจับลูกค้าให้อยู่หมัด (Nanosoft Marketing Series)

บางครั้งเรา ได้ปล่อยให้ลูกค้าของเราหลุดลอยไปมากเท่าไร ทั้งจากกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าเราในอนาคตและ กลุ่มลูกค้าเก่าที่หายไป ยิ่งสภาวะการแข่งขันรุนแรงมากเท่าไรการแย่งชิง ลูกค้าก็ยิ่งจะมากขึ้นเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าจำนวนลูกค้ามีเท่า เดิมแต่มีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งต้นทุน ที่ผู้ประกอบการต้องควักกระเป๋าเพื่อหาลูกค้าใหม่ยังมากกว่าการทำการตลาดกับ ลูกค้าเก่าหน้าเดิมๆ ถึง 5 เท่า นอกจากนี้ ลูกค้าเก่าจะรู้สึกคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี ทำให้ยอม รับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้ดีกว่าลูกค้าหน้าใหม่ และยังพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมของคุณทุกเมื่อหากลูกค้ายังมีใจให้กับเรา อยู่
      ท่านผู้อ่านคงอยากจะทราบกันแล้วว่าทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจับลูกค้าไม่ว่า จะเป็นรายเก่ารายใหม่หรือคนที่สนใจไม่ให้หลุดมือเราไปได้ ทีนี้เราลองมา ดูกลยุทธ์ในการจับลูกค้าให้อยู่หมัดกันนะครับ สามารถแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้


      1. อย่าปล่อยให้ลูกค้าลอยนวล เราจะต้องหาวิธีเปลี่ยนกลุ่มผู้สนใจให้เป็นลูกค้าให้ได้ ไม่ว่า จะเป็นคนที่เดินผ่านหน้าร้าน คนที่โทรศัพท์มาสอบถาม คนที่แวะที่ร้านหรือจุดขาย คนที่เห็นโฆษณาของเราทางสื่อต่างๆ แต่คำถามก็คือ “ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนกลุ่มผู้ที่สนใจนี้ ให้เป็นลูกค้าของเรา?” หากเราลองเก็บข้อมูลดูอาจจะพบว่ากลุ่มที่แวะเข้าร้านหรือโทรศัพท์ มาสอบถามแล้วเกิดการซื้อทันทีคิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ส่วนอีกกลุ่มนั้นจะต้องอาศัยการติดตามสัก 2-3 ครั้งกว่าที่ลูกค้าจะยอมตัดสินใจซื้อจริง ซึ่งอาจจะได้ยอดขายเพิ่มขึ้นอีกสัก 15 เปอร์เซ็นต์ รวมกันทั้งสองกลุ่มก็ประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือ “อย่าปล่อยให้ลูกค้าลอยนวล จับเอาไว้ให้แน่นๆ ” สำหรับกลุ่มที่หนึ่งเราจะต้องหาวิธีทำให้ลูกค้าที่มาหาโดยตรงประทับใจ และตัดสินใจซื้อโดยทันที และกลุ่มที่ สองหากยังไม่ตัดสินใจซื้อทันทีก็ไม่เป็นไร เราจะต้องพยายามให้ข้อมูลแก่ลูกค้าให้ดีที่สุดแต่จะต้องไม่รีบร้อนในการขาย จนเกินไป ควรเก็บข้อมูลทั้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และอี-เมล์ เพื่อที่เราจะได้ติดตาม แล้วพยายามเปลี่ยนกลุ่มที่สนใจให้กลายมาเป็นลูกค้าเราให้ได้

      2. เปลี่ยนลูกค้าขาจรเป็นขาประจำ เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าของเราแล้วนับเป็นโอกาสที่ดีของเรา ที่สามารถนำเสนอสินค้าหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมพ่วงเข้าไปด้วย เรียกว่า “เพิ่มโอกาสเพื่อสร้างรายได้” เช่น ร้านขายมือถือ เมื่อลูกค้าซื้อมือถือ เราก็ขายซองใส่มือถือ แบตเตอรี่ หูฟังไร้สาย เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ เป็นต้น หรือร้านกาแฟก็ขายขนมเค้ก ขนมปัง นมสด น้ำผลไม้ เสริมเข้าไปด้วย เพราะโดยทั่วไปแล้ว พฤติกรรมการซื้อสินค้าชิ้นแรกหรือครั้งแรกจะ ยากลำบากเสมอหรือใช้เวลาในการตัดสินใจเปรียบเทียบคุณค่าอยู่นาน แต่พอการซื้อสินค้าชิ้นที่สองจะง่ายมาก จุดสำคัญ คือ การสร้างอารมณ์ในการซื้อให้เกิดขึ้นกับลูกค้า อีกทั้งลูกค้า ที่ซื้อสินค้ามากชิ้นจะมีแนวโน้มกลับมาซื้ออีกหรือเป็นลูกค้าขาประจำ ถ้าหากเปรียบเทียบร้านค้าที่ขายดีกับขายไม่ดีจะพบว่าร้านค้าที่ขายดีนั้นมี ยอดขายมากกว่าครึ่งหนึ่งมักมาจาก ลูกค้า ขาประจำ เช่น ร้านเสริมสวยที่มีลูกค้าขาประจำ รู้ว่าลูกค้าจะมาทุกๆ 2 สัปดาห์ จะสอบถามลูกค้าว่าอาทิตย์นี้จะเข้ามาวันไหนจะเตรียมบริการให้พิเศษ หรือช่วงวันหยุดนี้มาอีกวันดีกว่าไหม เป็นการนัด จองคิวล่วงหน้าซึ่งแสดงถึงความใส่ใจ หรือแม้กระทั่งร้านค้าปลีกในหมู่บ้าน ที่จำชื่อลูกค้าขาประจำในหมู่บ้านที่มาซื้อได้หมดทุกคน รู้ว่าลูกค้าเคยซื้ออะไรในหนึ่งสัปดาห์ ก็จะโทรศัพท์ถามลูกค้าว่าต้องการ สินค้าเพิ่มเติมไหม จะไปส่งให้ที่บ้าน มีเครดิตให้ลูกค้าประจำเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ค่อยมาจ่ายก็ได้ หากบริการดีอย่างนี้รับรองครับว่าลูกค้าไม่หนีไปไหน แน่ๆ

      3. เปลี่ยนลูกค้าขาประจำให้เป็น “แฟนพันธุ์แท้ ” ที่ เชื่อใจกันและกัน คอยสนับสนุนกิจการและบอก ต่อๆ ให้แก่คนรู้จัก ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจต่างๆ จะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าว่า “ลูกค้าคือสินทรัพย์” ของบริษัท หรือลูกค้าเปรียบเสมือน “ห่านทองคำที่จะสร้างรายได้ให้กับ เจ้าของ(ธุรกิจ)ได้อย่างไม่รู้จบ ตราบเท่านานที่ผู้เป็นเจ้าของรู้จักดูแลลูกค้า(ห่านทองคำ)ของตนเองเป็นอย่าง ดี” หรืออาจเปรียบเทียบกับภาษาทางวิชาการที่ว่า “มูลค่าตลอดชีพ (Life Time Value : LTV)” หากเราดูแลลูกค้าแบบเพื่อนแท้หรือคู่รักที่สนใจเอาใจใส่เป็นอย่างดีลูกค้าก็ จะอยู่กับเราตลอดไป ยกตัวอย่างเช่น
      - ร้านอาหาร หากลูกค้ามาทานอาหารที่ร้านเดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1,000 บาท เท่ากับว่าในหนึ่งปีเราได้รับรายได้จากลูกค้าคนนี้ถึง 24,000 บาท หากร้าน คุณมีลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้สัก 50 คน คุณจะมีรายได้ที่แน่นอนถึงปีละ 1.2 ล้านบาทเลยทีเดียว
      - สปอร์ตคลับที่เก็บค่าสมาชิกปีละ 5,000 บาท หากคุณมีสมาชิกจำนวน 200 คน คุณจะมีรายได้ถึงปีละ 1 ล้านบาทที่นอนมาให้คุณแบบสบายๆ
      - ร้านกาแฟที่มีลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ที่มาดื่มกาแฟเป็นประจำ สัปดาห์ละ 4 แก้ว เฉลี่ยแก้วละ 60 บาท ในหนึ่งปีคุณจะมีรายได้จากลูกค้าคนนี้ถึง 12,480 บาท หากร้านนี้มีลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้สัก 100 คน จะมีรายได้ประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น

      4. ตามคืนดีลูกค้าเก่าที่จากไปให้กลับมา สาเหตุหลักๆ ที่ลูกค้าจากไปจะมีอยู่ 2 ประการ
      ประการแรก คือ ลูกค้าไม่พอใจสินค้าหรือการบริการของเราจนหายหน้าหายตาไป ดังนั้น อาจจะต้องอาศัยความพยายามมากๆ หน่อย เพราะส่วนใหญ่มาจาก สาเหตุที่พนักงานพูดจาไม่สุภาพ บริการไม่ประทับใจ ไม่ได้กระทำตามสัญญาที่ให้ไว้ เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารควรติดต่อไปหาลูกค้าด้วยตนเอง สอบถามถึงปัญหาความขัดข้องใจ ผ่านทางโทรศัพท์ อี-เมล์ หรือส่งจดหมายลงลายมือชื่อไปขอโทษลูกค้า เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับเสนอสินค้าหรือบริการที่เขาเคยซื้อเคยใช้ ในราคาที่พิเศษ เพื่อเป็นการขอโทษ ซึ่งจะทำให้เราได้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับคืนมา และก็มีแนวโน้มที่ลูกค้ากลุ่มนี้จะกลาย มาเป็นแฟนพันธุ์แท้ในอนาคตอีกด้วย
     ประการที่สอง คือ ขาดการติดต่อหรือติดตามจากเรา การดึงลูกค้าให้กลับมาโดยง่ายเราควรนำเสนอสิทธิพิเศษนิดหน่อย เช่น ในช่วงวันเกิดสามารถซื้อได้ใน ราคาลด 50 เปอร์เซ็นต์ หรือหากมีสินค้ารุ่นใหม่ๆ ออกมาก็ให้ทดลองใช้ก่อนใครหรือให้ใช้ได้ฟรี อีกทั้งอาจจะมีกิจกรรมร่วมกันเพื่อฟื้นฟูความทรงจำดีๆ ให้กลับมา

      5. จัดกิจกรรมสร้างสัมพันธ์รวมกลุ่มคนที่รักเรา ให้ ลูกค้าพาเพื่อน คนรู้จัก หรือญาติมาหาเรา เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จัดกิจกรรมสอนแต่งหน้าจากช่างแต่งหน้ามืออาชีพ ผลิตภัณฑ์นมสดพร้อมดื่ม สำหรับเด็กจัดกิจกรรมค่ายเด็กน้อยอัจฉริยะ การจัดรายการ สมาชิกแนะนำสมาชิก เพื่อนบอกเพื่อน (Member Get Member) หรือให้ลูกค้าแนะนำรายชื่อเพื่อนหรือคนรู้จักสัก 3 รายชื่อ พร้อมทั้งขออนุญาตในการอ้างอิงชื่อผู้แนะนำเพื่อนำเสนอสินค้า วิธีการเหล่านี้ก็จะ ช่วยให้เราขยายฐานลูกค้าออกไปได้อย่างมาก

      อย่างไรก็ตาม การนำกลยุทธ์ใดๆ ไปใช้ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่ดีที่มีต่อลูกค้าของท่าน อย่าพยายามเสแสร้งทำเป็นดีกับลูกค้า ควรแสดงออกให้เห็นถึง ความจริงใจ มีความเสมอต้นเสมอปลายทั้ง กับลูกค้าและพนักงานก็จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน และไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใหญ่หรือเล็กก็ตามลูกค้านั้นก็เป็นบุคคลที่สำคัญต่อ เราเสมอ ดังคำกล่าวของ ท่านมหาตมะ คานธี ที่กล่าวไว้ว่า “ลูกค้าคือ แขกคนสำคัญที่สุด ที่ได้มาเยือนเรา ณ สถานที่แห่งนี้ เขามิได้มาเพื่อพึ่งพิงเรา แต่เราต่างหากที่ต้องพึ่งพิงอาศัยเขา”

การขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน

ขั้นตอนการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
 
        โรงงาน  หมายความว่า ` อาคาร สถานที่ หรือยานพาหนะที่ใช้เครื่องจักรมีกำลังรวมตั้งแต่ 5 แรงม้าหรือกำลังเทียบเท่าตั้งแต่ 5 แรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่ 7 คนขึ้นไปโดยใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม สำหรับทำ ผลิตประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือทำลายสิ่งใดๆ ทั้งนี้ ตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่กำหนดในกฎกระทรวง´
ทำเลที่ตั้งประกอบกิจการโรงงาน สามารถแบ่ง ได้ดังนี้
        1. พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม
        2. พื้นที่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรม
        3. พื้นที่ในชุมชนอุตสาหกรรม
        4. พื้นที่เอกเทศ
 
ขั้นตอนการขออนุญาตของโรงงานที่จะตั้งขึ้นใหม่
        ในกรณีที่โรงงานประกอบกิจการในพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรม  ผู้ประกอบการจะต้องยื่นคําขอที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  618 ถนนนิคมมักกะสัน แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทรศัพท์ : 0-2253-0561 โทรสาร : 0-2253-4086 
http://www.ieat.go.th
 
 
ขั้นตอนการขออนุญาตของโรงงานที่จะตั้งขึ้นใหม่
        ในกรณีที่โรงงานประกอบกิจการในพื้นที่ของเขตประกอบการอุตสาหกรรมผู้ประกอบ การไม่ต้องยื่นคําขอใดๆ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการรายปีตามอัตราค่าธรรมเนียมในพระราช บัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ดังแสดงในตารางหน้า 19-20

 
ขั้นตอนการขออนุญาตของโรงงานที่จะตั้งขึ้นใหม่
        ในกรณีที่โรงงานประกอบกิจการ ในพื้นที่ของชุมชนอุตสาหกรรม หรือ พื้นที่เอกเทศมีขั้นตอนในการขออนุญาตฯ      ดังแสดงในหน้าถัดไป (ในกรณีที่โรงงานประกอบกิจการในพื้นที่ของชุมชนอุตสาหกรรมจะไม่มีการพิจารณา ในเรื่องทําเลที่ตั้งประกอบกิจการโรงงาน)

 


 
Link ที่เกี่ยวข้อง (ไฟล์สกุล pdf)
- พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535

ฮวงจุ้ย ตอน จัด ‘ร้าน’ ให้ได้ ‘ล้าน’

จัดร้านอย่างไรให้ได้ล้าน
จัดร้านอย่างไรให้ได้ล้าน


จัด “ร้าน” ให้ได้ “ล้าน” (คลิกรูปอ่านเรื่อง):เทคนิคจัด ร้าน ให้ได้ ล้าน ไม่ว่าฉบับหมอดูฮวงจุ้ย หรือ
ฉบับมหาวิทยาลัยชื่อดัง แท้จริงเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือ การถอดรหัสพฤติกรรมคนซื้อ
ฮวงจุ้ย เรื่องที่ใครๆ บอกว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ “ศาสตร์มืด”
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ถ้าเปิดใจสักนิดจะเห็นชัดๆ ว่า ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของ สถิติ วิจัย การสังเกตพฤติกรรม ทิศทางลม แล้วจัดบ้าน ผังเมือง ให้สอดคล้องกับภูมิศาสตร์
ฮวงจุ้ย เรื่องที่ใครๆ บอกว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ “ศาสตร์มืด” ถ้า เปิดใจสักนิดจะเห็นชัดๆ ว่า ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของ สถิติ วิจัย การสังเกตพฤติกรรม ทิศทางลม แล้วจัดบ้าน ผังเมือง ให้สอดคล้องกับภูมิศาสตร์
ศาสตร์ที่มีมานับพันปีจึงได้รับการถ่ายทอดสืบกัน และถ้าใช้ให้ศาสตร์นี้ทำให้รวยไม่รู้เรื่องทีเดียว
เชื่อหรือไม่ว่า 7 อีเลฟเว่น โมเดิร์นเทรดยุคใหม่ยังมีหลักการจัดร้านอิงกับฮวงจุ้ย เพราะหลักของการเลือกทำเลค้าขายที่ดี ซินแสทุกคนล้วนกล่าวว่า ต้องเลือกทำเลที่มี “พลังชี่มากๆ” คือ ทำเลที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย
ทุกที่ที่มีชุมชน มีผู้คน มีกำลังจับจ่ายใช้สอย ที่นั่นจึงต้องมี 7 อีเลฟเว่น ไปดักกระแสเงินสด
เช่นเดียวกันถ้าคุณอยากรวยต้องเลือกทำเลที่มี พลังชี่มากๆ ซึ่งวันนี้ BizWeek เวอร์ชันออนไลน์ มีเรื่องราวเกี่ยวกับฮวงจุ้ยการจัดร้านที่เก็บตกจากงานสัมมนา “ฮวงจุ้ย เติมเต็มพลัง SMEs” จัดโดยชมรมเครือข่ายธุรกิจ K SMEs Care สำหรับเป็น “คู่มือ” จัดร้านดักเงินลูกค้า
อ.วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย และสถาปัตย์ระดับแนวหน้าของวงการ บอกว่า การจัดตำแหน่งร้านค้าวางตามตำแหน่ง ขุนเขา แห่งความสำเร็จ ตามแนวดวงดาว นั่นคือ เต่าดำ มังกรเขียว เสือขาว และหงส์แดง
ไม่เกี่ยวกับตุ๊กตาที่ขายตามร้านเครื่องราง ของขลัง หรือที่บรรดาซินแส นักดูฮวงจุ้ยพยายามขายให้ร้านค้า เพราะนี่เป็นตำแหน่งทางดวงดาวที่มีทุกร้าน
ตำแหน่งดวงดาวทั้ง 4 ที่วางทอดไปตามร้านค้า เมื่อยืนในร้าน (หันหน้าออกหน้าร้าน) ตำแหน่งซ้ายมือคือ หัวมังกร ลำตัวมังกร และหางมังกร ส่วนด้านขวามือหน้าร้านคือ หัวเสือ ลำตัวเสือ และหางเสือตามลำดับ
ด้านในสุดหลังร้านคือตำแหน่ง เต่าดำ และ ด้านนอกสุด เรียกว่า หงส์แดง
ตำแหน่งดวงดาวที่ว่า เกี่ยวพันกับเรื่องการวางสินค้าอย่างมาก ซึ่งอ.วิศิษฐ์ บอกว่า ตรงกันกับผลวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ถอดรหัสพฤติกรรมลูกค้า
ซึ่งตำแหน่งหัวมังกร ตามตำราฮวงจุ้ยจีน ว่าไว้ว่า เป็นตำแหน่ง ขายดีที่สุด หัวมังกร รองลงมา หงส์แดง กลางลำตัวมังกร ถัดมาเป็นหัวเสือ กลางลำตัวเสือ
หาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็บอกว่า ตำแหน่งที่ลูกค้าเดินเข้าร้านแล้วเลี้ยวขวา ตำแหน่งนี้ยอดขายสูงสุด 20% ของร้านค้า เดินลึกเข้าไปทางขวามืออีกนิด ขายดีรองลงมาโดยทำยอดขายได้ 15% ของร้านค้า
ฉะนั้นสินค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขาย หรือสินค้าออกใหม่ที่จะโปรโมท ตำแหน่งหัวมังกร หรือ ด้านขวามือเมื่อลูกค้าเดินเข้าร้านดีที่สุด
นอกจากนี้ลูกค้าที่เดินเลี้ยวขวามีโอกาสที่จะ ซื้อสูงกว่าลูกค้าที่เดินเลี้ยวซ้าย การจัดวางผังร้านจึงพยายามวางให้ลูกค้าเดินเวียนขวาให้ได้
แต่มีลูกค้าบางประเภทจัดอยู่ในหมวด ผู้สังเกตการณ์ คือ ขอดูก่อน ลูกค้าประเภทนี้ไม่ชอบให้คนขายมาจู้จี้ ฉะนั้นผังร้านที่ดีต้องจัดวางตู้บังคับให้ลูกค้าเดินเลี้ยวขวา
เพื่อให้ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมความคิด เพราะคนส่วนใหญ่ ด้านขวาก็คือความมั่นใจ
นอกจากนี้ต้องให้ลูกค้าอยู่ภายในร้านให้นานที่สุด เพราะยิ่งนาน ยิ่ง ดูด เงินในกระเป๋าลูกค้าได้มากเท่านั้น
อ.วิศิษฐ์ บอกว่า ต้องล่อใจลูกค้าด้วยสัมผัสทั้ง 5 บรรยากาศร้านต้องสว่าง แต่อย่าให้แสงเท่ากันหมดทั้งร้าน เหมือนคนหน้าแบน ไม่มีสิ่งดึงดูดใจ
เทคนิคที่สถาปนิกฮวงจุ้ยคนนี้ แนะนำ คือ จัดแสงให้มีมิติ เปิดเพลงคลอเบา สร้างบรรยากาศให้ลูกค้าสบายใจที่จะเดินชม เดินช้อป ไปเรื่อย


เรียงสินค้าเด่น สินค้ารอง
สำหรับการจัดเรียงสินค้าที่ต้องการขาย ต้องรู้จักจัดเรียงสินค้าเด่น สินค้ารอง เพราะ ตัวเปรียบ ทำให้สินค้าที่จะดัน เกิด หรือขายดีขึ้น
ต้องมีสินค้าที่คุณภาพใกล้เคียงกันแต่ราคาแพง ไร้เหตุผลมาวางคู่กัน และต้องมีสินค้าคุณภาพห่วยมาประกบ จะทำให้สินค้าของเราขายดีขึ้นกว่าวางไว้โดด
งานวิจัยยังบอกอีกว่า 1 ใน 6 วินาที คนเราจะเก็บข้อมูลสินค้าได้ 7 อย่าง ดังนั้นการโชว์สินค้าต้องวางให้เป็นแผงอย่างน้อย 7 ชิ้นที่เหมือนกัน เพราะถ้าวางอย่างละชิ้น สมองก็จะไม่บันทึก โอกาสที่จะขายได้ก็น้อยตาม
รวมทั้งการวางสินค้าต้องวางในระดับ สายตา ของคนชอปปิง
อ.วิศิษฐ์ บอกว่า มาตรฐานความสูงแม่บ้านไทยประมาณ 150 ซม. แต่ระดับสายตานักชอปจะก้มประมาณ 10 องศา หรือเท่ากับระดับ 120 ซม. จากพื้น นี่คือ? ระดับสายตานักช้อป ที่จะมองเห็นตลอดแนวทางเดิน
เคล็ดลับยังไม่หมดเท่านี้ อ.วิศิษฐ์ มีเทคนิคให้อีกว่า ความกว้างของทางเดินก็มีผลทำให้ลูกค้ามองเห็นสินค้า ถ้าทางเดินแคบ มุมมองจะแคบโอกาสขายได้น้อยกว่าทางเดินที่กว้างอีกสักหน่อย
สำหรับสินค้าที่วางในเชลฟ์แล้วตาย เช่น ยาอม หมากฝรั่ง ถ่านไฟฉาย อ.วิศิษฐ์ แนะว่า ควรวางไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์เก็บเงิน เพราะระหว่างรอจ่ายสตางค์นานๆ ลูกค้าเบื่อๆ เซ็งๆ ก็หยิบติดไม้ติดมือไปเป็นของแถม ได้เงินเข้าร้านเพิ่มอีก
p style=”text-align: lเทคนิคจัด ร้าน ให้ได้ ล้าน ไม่ว่าฉบับหมอดูฮวงจุ้ย หรือฉบับมหาวิทยาลัยชื่อดัง ล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือ การถอดรหัสพฤติกรรมคนซื้อ
แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่า ฮวงจุ้ย คือ คุณธรรม มโนธรรม จริยธรรม ของคนขายที่มีต่อคนซื้อ ที่จะกุมหัวใจลูกค้าไปตลอด

แชงเก้นวีซ่า (Schengen Visa)

แชงเก้นวีซ่า (Schengen Visa)

Schengen Visa นั้นใช้ได้กับประเทศแถบยุโรปที่เป็นสมาชิก Schengen Visa เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ที่เดินทางไปเที่ยวยุโรป หลายประเทศต่อเนื่องกันในทริปเดียว โดยสามารถยื่นคำร้องขอวีซ่า แบบเดินทางเข้า - ออกครั้งเดียว หรือเดินทางเข้า - ออกหลายครั้งก็ได้ แต่ทั้งนี้รวมเวลาที่พำนักทั้งหมดแล้ว ต้องไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้าประเทศในกลุ่มสัญญาเชงเก็น
การทำ Schengen Visa จะทำให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเสียเวลายื่นวีซ่าขอเข้าประเทศ กับทุกๆ ประเทศที่จะเดินทางเข้าไปเที่ยว มีเพียง Schengen Visa ก็สามารถเข้าได้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิก Schengen สำหรับ Schengen Visa นั้น ให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าต่อสถานทูตของประเทศที่ จะเดินทางเข้าไปเป็นประเทศแรก ที่ผู้เดินทาง เดินทางไปถึงยุโรป (ตัวอย่างเช่น เดินทางไป อิตาลี - สวิส - ฝรั่งเศส ประเทศที่จะออก Schengen Visa ให้คือ ประเทศ อิตาลี)

» ประเทศยุโรป ที่สามารถใช้ Schengen Visa
ออสเตรีย เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมัน
กรีซ ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์
โปรตุเกส สเปน สวีเดน
ประเทศไซปรัส เลื่อนการอนุญาตไปหนึ่งปี ประเทศบัลแกเรีย และ ประเทศโรมาเนีย ยังอยู่ในการพิจารณา

เพิ่มเติม : Schengen Visa ใช้ได้กับประเทศแถบยุโรปที่เป็นสมาชิก Schengen Visa เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ที่เดินทางไปเที่ยวยุโรป หลายประเทศต่อเนื่องกันในทริปเดียว โดยสามารถยื่นคำร้องขอวีซ่า แบบเดินทางเข้า - ออกครั้งเดียว หรือเดินทางเข้า - ออกหลายครั้งก็ได้ แต่ทั้งนี้รวมเวลาที่พำนักทั้งหมดแล้ว ต้องไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้าประเทศในกลุ่มสัญญาเชงเก็น
เอกสารการที่ใช้ยื่นประกอบคำร้องการขอวีซ่าเช็งเก้นเพื่อวัตถุประสงค์ในเดินทางเพื่อทำธุรกิจ/การประชุม/การสัมมนา
หนังสือเดินทาง (มีอายุอีกอย่างน้อย 3 เดือน นับจากวันที่ท่านเดินทางกลับ) 



รูปถ่ายปัจจุบัน ขนาด 5 x 3 เซนติเมตร (2 นิ้ว) จำนวน 2 รูป โดยมีพื้นหลังเป็นสีขาว
คำร้องขอวีซ่าเช็งเก้น ซึ่งกรอกอย่างสมบูรณ์พร้อมลายเซ็น
กรมธรรม์ประกันการเดินทางซึ่งมีวงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลอย่างน้อย 30,000 ยูโร หรือเทียบเท่าเงินบาท
หนังสือรับรองจากบริษัทซึ่งระบุถึงวัตถุประสงค์ของการเดินทาง ระยะเวลาที่จะพำนัก และการรับรองค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการเดินทาง (เช่น ค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร ประกันการเดินทาง)
หนังสือเชิญจากบริษัทหรือหน่วยงานในประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งระบุถึงจุดประสงค์ของการเดินทาง ระยะเวลาที่จะ พำนัก แล ะที่พำนักของผู้ยื่นคำร้อง
เอกสาร การสำรอง ตั๋วโดย สารเครื่องบิน (ไม่ใช่ตั๋วเครื่องบินที่ชำระค่าโดยสารแล้ว)
สำเนาเอกสารต่างๆข้างต้นอย่างละ 1 ชุด (สำหรับหนังสือเดินทาง กรุณาถ่ายสำเนาเฉพาะหน้าที่มีข้อมูลส่วนบุคคล และหน้าที่มีวีซ่าต่างๆ)
ค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องขอวีซ่า 60 ยูโร ซึ่งชำระเป็นเงินสดและเป็นเงินบาทโดยจะคิดตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
“หนังสือหรือจดหมายรับรองการทำงาน หรือ เอกสารอื่นๆ ที่ยืนยันการจดทะเบียนบริษัท ในกรณีที่ผู้สมัคร มีธุรกิจส่วนตัว”
*ในบางกรณี อาจมีการขอเอกสารอื่นๆเพิ่มเติม 



 


 

มารู้จักชื่อจริงของสินค้าแฟชั่นที่กำลังจะขายกันดีกว่า!!!

มารู้จักชื่อจริงของสินค้าแฟชั่นที่กำลังจะขายกันดีกว่า!!!

ปัญหาอย่างหนึ่งของการขายของ คือการ "ตั้งชื่อสินค้า"
เข้าใจค่ะว่า บางทีเรามีสินค้าเยอะๆ อยู่ในสต็อก กว่าจะถ่ายรูปสินค้า อัพของขึ้นขาย
ทั้งเสื้อ กางเกง กระโปรง รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ และอีกหลายสิ่งแต่ละที
จะมัวรังสรรค์ตั้งชื่อสินค้าให้วิเลิศมาหรา ก็ไม่ทันขายกันพอดี
เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ ลองมารู้จักจริงๆ ของเหล่าสินค้าสารพัดคุ้นหน้าคุ้นตา
แต่บางทีเราก็ไม่นิยามความต่างของชื่อเรียกในแต่ละประเภทของได้อย่างถูกต้อง
วันนี้ Weloveshopping  เลยหยิบสาระดีๆ เกี่ยวกับชื่อเรียกของ ประเภทตามรูปทรงต่างๆ
จะได้ง่ายต่อการตั้งชื่อ และการอธิบายลักษณะ รูปทรงต่างของสินค้าในร้าน ของคุณได้อย่าง Profassinal 

1. เสื้อ : แม้ว่าเสื้อที่เราใส่ๆ กันอยู่ จะเหมือนมีไม่มีกี่ประเภท อย่าง เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เสื้อแขนยาว เสื้อคอกลม ฯลฯ
แต่รู้หรือไม่ว่า เสื้อยังมีชื่อเรียกตามลักษณะการใช้งานและฤดูกาล อีกด้วย
 
 2. กางเกง : กางเกงก็เช่นเดียวกัน ชื่อเรียกของมันก็อาจจะแบ่งตามการใช้งาน และฤดูกาลบ้างคล้ายกับชื่อเรียกของเสื้อ

3. กระเป๋า : ชิ้นสำคัญอีกหนึ่งสิ่งที่เหล่าแฟชั่นนิสต้าตัวจริงมีติดในตู้คนละสามใบขึ้นแน่นอน และก็เช่นเดียวกันว่า
กระเป๋า แต่ละรูปทรงก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าคุณตั้งชื่อกระเป๋าที่เป็นสินค้าในร้านคุณได้ถูกต้องกันบ้างหรือเปล่า

4. รองเท้า : อาจจะดูวุ่นวายไปนิดถ้าจะเรียกชื่อจริงๆ ของชื่อทรงรองเท้าทั้งหมด แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่ารู้ไว้ใช่ว่า
เผื่อวันดีจะลุกขึ้นมาเป็นกูรู กูตรูเกี่ยวกับเทรนด์รองเท้าแฟชั่นนะคะ 
 

5. หมวก : ไอเท็มที่จะเด่นแบบฟันธงว่าใครเป็นแฟชั่นไอคอนตัวจริง หนีไม่พ้นแน่ๆ ก็คือ "หมวก" ยิ่งสมัยนี้ทั้ง สตรีทแฟชั่น
วินเทจเรโทร ฮิปฮอป ต่างก็มีหมวกเป็นตัวเอกที่แสดงอัตลักษณ์เฉพาะของสไตล์ทั้งนั้น 

ขอบคุณภาพและข้อมูลดีๆ จาก CHEEZE SHOPPING GUIDE